ศาลเจ้าตึกในโพรงไม้กร่าง​ อายุ 300 ปี มีรากไม้คล้ายหัวลูกช้างน้อย

ศาลเจ้าตึกในโพรงไม้กร่าง​ อายุ 300 ปี มีรากไม้คล้ายหัวลูกช้างน้อย​ ที่ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี ชาวบ้านมาขอพรสมหวังทุกราย แนะ รัฐหนุนเป็นสถานที่ท่องเที่ยว สร้างรายได้ให้ชุมชน

เมื่อวันที่ 21 ส.ค.59 นายสมศักดิ์ วงษ์ศีล อายุ 57 ปี สมาชิกสภาเทศบาลตำบลหวายเหนียว หมู่ 1 ต.หวายเหนียว อ.ท่ามะกา จ.กาญจนบุรี แจ้งว่า ชาวบ้านและนักท่องเที่ยวแห่เที่ยวชมรากไม้ของต้นกร่างยักษ์อายุหลายร้อยปี ที่ขึ้นปกคลุมศาลเจ้าตึกในโพรงไม้ มีลักษณะคล้ายหัวลูกช้างน้อย มีงวง มีตา มีปากครบ จึงเดินทางไปตรวจสอบ

ทั้งนี้ พบต้นกร่างดังกล่าวมีลำต้นขนาดใหญ่วัดรอบได้ 22 เมตร ประมาณ 17 คนโอบ ลำต้นสูงประมาณ 3 เมตร มีกิ่งก้านสาขาขนาดใหญ่แผ่คลุมพื้นที่กว้างประมาณ 1 ไร่ ใต้ฐานของรากต้นกร่างเป็นศาลเจ้าตึก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ซึ่งเป็นที่ยึดเหนี่ยวจิตใจของชาวตำบลหวายเหนียว และจังหวัดกาญจนบุรี โครงสร้างทำด้วยอิฐมอญ ซึ่งคาดว่าสร้างขึ้นมาจากฝีมือของพ่อค้าชาวจีน ในยุคสมัยก่อน ชาวบ้านเชื่อว่ามีอายุไม่น้อยกว่า 300 ปี โดยรากของต้นกร่างหล่อหลอมรวมเป็นเนื้อเดียวกันกับศาลเจ้าตึกในโพรงไม้จนแยกออกจากกันไม่ได้ สำหรับศาลเจ้าหน้าที่ถูกสร้างให้หันหน้าไปทางทิศเหนือติดกับแม่น้ำแม่กลอง ซึ่งบรรยากาศร่มรื่นเป็นอย่างมาก เหมาะสำหรับการมาไหว้ศาลเจ้าและนั่งพักผ่อนริมแม่น้ำแม่กลองเป็นอย่างมาก

ทั้งนี้ สิ่งที่ชาวบ้านไม่เคยสังเกตเห็นมาก่อนคือรากของต้นกร่างยักษ์ที่ขึ้นปกคลุมศาลเจ้าตึกที่อยู่ทางทิศใต้ หรือด้านหลังศาลเจ้าตึก มีอยู่หลายรากด้วยกัน ซึ่ง 1 ในนั้นมีลักษณะคล้ายกับหัวของลูกช้างน้อยที่โผล่ออกมาให้เห็นได้อย่างเด่นชัด โดยมีทั้งส่วนของหัว ส่วนของงวงที่ยื่นออกมารวมทั้งดวงตาขนาดเล็ก และปาก ยิ่งใช้สายตาจ้องนานเท่าไร รากดังกล่าวก็ยิ่งเหมือนช้างมากขึ้นไปทุกที

นายสมศักดิ์ กล่าวว่า ตนดูแลศาลเจ้าตึกแห่งนี้มานานหลายปี แต่ไม่เคยสังเกตดูรากของต้นกร่างมาก่อนเลย และเมื่อไม่นานมานี้เอง ขณะที่ตนกำลังเดินเล่นอยู่นั้น สายตาก็ได้ไปสะดุดกับรากต้นกร่างลักษณะแปลกตา จึงหยุดนิ่งแล้วมองจ้องเข้าไปที่รากแบบไม่กะพริบตา จึงรู้ว่ามีลักษณะเหมือนหัวของลูกช้างน้อยที่โผล่ออกมาจากศาลเจ้าตึก หลังจากชาวบ้านทราบข่าวก็ได้เดินทางมาดูกันเป็นจำนวนมาก นอกจากนี้ยังมีนักท่องเที่ยวจากพื้นที่อื่นได้ถ่ายภาพเอาไว้เป็นที่ระลึกอีกด้วย จุดนี้ตนมองว่า จะสามารถพัฒนาพื้นที่ให้เป็นแหล่งท่องเที่ยวได้เป็นอย่างดี และหากหน่วยงานภาครัฐเข้ามาสนับสนุน จะทำให้ชาวบ้านในพื้นที่มีรายได้จากการขายพืชผลทางการเกษตรได้อีกทางหนึ่งด้วย

ขอบคุณ​ภาพและข้อมูลhttp://www.thairath.co.th/content/697303